green and brown plant on water

ความเป็นทิพย์ของจิต

เวลาอ่าน : 3 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”

วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม 2565

เรื่อง ความเป็นทิพย์ของจิต

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

ครับ สวัสดีนะครับทุกท่าน ท่านที่เข้ามาแล้ว  ก็กำหนดใจของเราให้ผ่องใส  สบายๆ  อยู่กับลมหายใจสบายๆ
กำหนดความรู้สึกของเรา    ให้มีความเอิบอิ่มผ่องใส    ปิติสุขจากภายใน   กำหนดรู้ลมหายใจตลอดทั้งสาย  ทั้งกองลม จินตภาพ เห็นลมหายใจของเราเป็นเหมือนกับแพรวไหม พริ้วผ่านเข้าออกภายในกายของเรา  สติกำหนดรู้อยู่กับทั้งลมหายใจที่เบา ละเอียด สบาย และอารมณ์จิตของเรา ที่มีความสบาย สอดคล้องเชื่อมโยง สัมพันธ์กันกับลมหายใจ  สงบ สบายผ่องใส 

จิตเป็นผู้ติดตามรู้ลมหายใจ สติกำหนดรู้ในอารมณ์สบาย อารมณ์สงบ จิตสงบผ่องใส ละเอียด เบาสบาย กำหนดในความรู้ตื่น  

เมื่อลมหายใจของเราสบายแล้ว  ให้เรากำหนดน้อมจิตของเราต่อไป  กำหนดจินตภาพให้เห็นดวงจิตของเราเป็นแก้วใส สว่าง แสงสว่างจากดวงจิต  ที่เรากำหนดเป็นนิมิตอยู่ภายในร่างกาย ภายในอกของเรา ยิ่งนิมิต คือดวงจิตใสมากเท่าไหร่ สว่างมากเท่าไหร่ ใจเรายิ่งเกิดความสุข  เกิดกระแสความรู้สึกอันเป็นสุขสงบจากภายในภาพนิมิต     คือดวงแก้วใสนั้น  จนรู้สึกได้ว่า  กระแสความรู้สึกและรัศมีความสว่าง  รัศมีความใสของดวงแก้ว แผ่สว่างปกคลุมรายล้อมรอบตัวเรา เราอยู่ในสนามพลังแห่งแสงสว่าง อยู่ในกระแสแห่งความสุข กระแสแสงสว่างนั้น  กระแสแห่งความสุขคือกระแสแห่งบุญกุศล  ยิ่งจิตของเรา กายทิพย์ของเรามีแสงสว่าง รัศมีกายหรือออร่ามากเท่าไหร่ กำลังแห่งบุญ กำลังแห่งจิตก็มีมากกว่า บุคคลที่มีรัศมีแสงสว่างจากจิตหรือกายทิพย์น้อยกว่า

กำหนดความรู้สึกว่าในขณะที่เราทำสมาธินี้ แสงสว่างแห่งจิตของเรา  สว่างปกคลุม  เป็นอาณาบริเวณโดยรอบมีรัศมีกว้างออกไป 2 เมตร  คุมทั่วร่างกาย แผ่ปกคลุม  เรารู้สึกสัมผัสได้ว่า เราอยู่ในสนามพลังแห่งความสุข  ไม่มีสิ่งใดที่จะมากระทบ ไม่มีสิ่งใดที่จะมารบกวน  กายและจิตเอิ่มอาบอยู่กับกระแสของพลังแห่งบุญ  กระแสของกุศล  กระแสแห่งกำลังจิตตานุภาพ กำลังตบะ กำลังแห่งสมาธิจิต จากดวงแก้วใสที่เรากำหนดนิมิตของจิต กำหนดต่อไปเดินจิต จากดวงจิตที่เป็นอุคหนิมิตของกสิณจิต เรากำหนดจิตให้เห็นจิตของเราขณะนี้ เป็นเพชรประกายพรึก สว่างระยิบระยับแพรวพราว จิตยิ่งมีความสุข มีความเอิบอิ่มมากขึ้น

ความเข้มข้นของอารมณ์ความรู้สึกและรัศมีแสงสว่าง  จากจิตที่เป็นรัศมีแผ่ออกไป จากกลางดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึก ยิ่งมีความเข้มข้น ยิ่งมีความละเอียด จนรู้สึกสัมผัสได้ว่ารายรอบตัวเราอยู่ในสนามพลังงาน ที่มีความระยิบระยับแพรวพราว รายรอบอยู่เหมือนกับกากเพชร เหมือนกับแผ่นเงิน แผ่นทอง ระยิบระยับที่ปลิวโปรยปราย  รายรอบอยู่รอบกายของเรา  จิตเรายิ่งรู้สึกสัมผัสถึงความสุข  สัมผัสถึงกำลังแห่งตบะ  กำลังแห่งความสงบ กระแสแห่งบุญ  น้อมนำให้กายและจิตของเรา  ซึมซาบเอิบอาบ ซึมซับกระแสแห่งความเป็นทิพย์ กายจิต อยู่ท่ามกลางกระแสแห่งบุญสนามพลังแห่งกุศล ความสุขความผ่องใส ความเป็นทิพย์นั้น ทรงอารมณ์จิตไว้ ความแพรวพราวระยิบระยับรายรอบล้อมตัวเรา  ทั้งกายและจิต  จิตเราเป็นเพชรระยิบระยับ   มีความสว่างเอิบอิ่มผ่องใส   จิตทรงกำลังสูงสุดในกสิณจิตคือปฏิภาคนิมิต  ฌาน 4 ในกสิณ

อารมณ์จิตที่เราทรงอยู่ในความเป็นทิพย์นี้ คืออารมณ์จิตที่เป็นฐานแห่งฌาน 4 ใช้งาน ฐานแห่งอภิญญา สามารถนำไปใช้อธิษฐาน เป็นอภิญญาจิต อธิษฐานในสิ่งที่เราต้องการที่จะให้สำเร็จ  ตามความมุ่งหมายปราถนาในสิ่งที่เป็นกุศล เป็นสิ่งที่ชอบประกอบด้วยธรรม ใช้ได้ทั้งทางโลก ทางธรรม ทรงอารมณ์เราอยู่ในสภาวะที่จิตเป็นทิพย์นี้ กำหนดความรู้สึก กลางดวงจิต เป็นเพชรประกายพรึก สว่างเจิดจ้าอยู่ภายในอก มีรัศมีแสงสว่างแผ่เป็นกำลัง กลายเป็นสนามพลังรายรอบ มีรัศมีรอบกายออกไป 2 เมตร  หรือขยายใหญ่ตามกำลังของเรา 

ภายในสนามพลังที่รายรอบจากรัศมีจิต มีประกายแพรวพราวยิบระยับรายรอบล้อม อารมณ์จิตของเรามีความสุข มีความแช่มชื่น มีความปิติสุข ทรงอารมณ์ ทรงฌาน ทรงสภาวะ ทรงอารมณ์นี้ไว้ ยิ่งเราทรงงอารมณ์ในความเป็นทิพย์นานมากเท่าไหร่  จิตยิ่งเกิดตบะ เดชะ พละ สะสมเพาะบ่มจนเกิดจิตตานุภาพ  เพิ่มพูนทวีคูณขึ้น  ทรงกำลังแห่งจิตในความเป็นทิพย์ไว้ จดจำอารมณ์ จดจำภาพนิมิต จดจำสภาวะธรรม  ให้เราสามารถทรงอารมณ์นี้ได้เสมอตลอดเวลา ง่ายดายเพียงแค่รัดนิ้วมือเดียว  และทรงสภาวะธรรมนี้  ด้วยสภาวะเต็มกำลัง คือเปี่ยมไปด้วยกำลัง จิตเบาสบาย ผ่องใส รอบกายรายล้อมมีแต่ความระยิบระยับแพรวพราว ใจเราเป็นสุข

ความระยิบระยับแพรวพราวที่รายรอบ สำหรับบางคนอาจจะปรากฏความรู้สึก ว่าความยิบระยับนั้นเหมือนกับดวงดาวในจักรวาล ในเอกภพที่กระพริบอยู่หลายรอบตัวเรา อารมณ์จิตผ่องใสเบิกบานปิติสุข  เพาะบ่มกำลังแห่งฌาน เพาะบ่มกำลังแห่งสมาบัติ เพาะบ่มความเป็นทิพย์ของจิตใจ ใจสบายเอิบอิ่ม  ทำความรู้สึกว่าร่างกายของเราขณะนี้กำลังทรงสมาธิ จะเป็นนั่งสมาธิอยู่ หรือนอนอยู่ท่ามกลางจักรวาล สว่าง   มีจักรภพ  คือดวงดาวทั้งหลาย กะพริบรายล้อมห้อมล้อมรายรอบตัวเราเต็มไปหมด จิตของเราเอิบอิ่มแช่มชื่นเบิกบานอย่างที่สุด  กระแสพลังแห่งจิต  รายล้อมรอบตัวเรา สว่าง     

กายยิ้ม จิตยิ้ม จิตสงบสุข พักอยู่กับความผ่องใสของจิต ความเป็นทิพย์ของจิตปรากฏขึ้น ค่อยๆ ซึมซับลงสู่ใจของเรา ให้สภาวะความเป็นทิพย์นี้ กลายเป็นธรรมชาติเดิมแท้ เป็นหนึ่งเดียวกับจิตของเรา จนสภาวะที่เรานึกคิดอธิษฐาน เกิดความสมปรารถนา จิตที่เป็นแก้วประกายพรึก กลายเป็นแก้วสารพัดนึก นึกคิดอะไรก็เกิดความเป็นทิพย์สำเร็จ สัมฤทธิ์อัศจรรย์

ความเป็นทิพย์ของจิต ความเอิบอิ่ม ความผ่องใสสมบูรณ์บริบูรณ์เต็มในจิตของเราแล้ว จิตยิ่งเกิดความเอิบอิ่มปิติสุขสูงขึ้น มากขึ้น จิตรู้สึกสัมผัสได้ว่า กระแสของบุญเต็มล้นอยู่ในใจในจิตของเรา ความสุขเปี่ยมล้น Full Feel อยู่ภายใน เราเมตตาต่อจิตของเรา  ปราถนาให้เราเป็นผู้ที่มีความสุข  ปรารถนาให้เราเป็นผู้ที่ปราศจากทุกข์ ปราถนาให้เราเป็นผู้ที่ปราศจากเวรภัย ปรารถนาที่จะให้ร่างกายนี้ มีพละ ความสมบูรณ์แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวงปราถนาให้ทุกสิ่งที่เรานึกสมหวังดั่งใจปอง เราปราถนาดีต่อกายต่อจิตของเรา แผ่เมตตาให้กับใจของเรา  ให้กระแสแห่งความสุข กระแสแห่งกุศล กระแสแห่งบุญ ทาน ศีล ภาวนา ที่เราเคยสร้าง เคยบำเพ็ญ นับตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันหลั่งไหลรวมลงสู่ใจของเรา หลั่งไหลรวมลงสู่ใจของเรา จิตที่เป็นเพชรประกายพรึก ยิ่งสว่างขึ้น มีกระแส มีความสว่างขึ้น เกิดความเอิบอิ่มแช่มชื่นผ่องใสเพิ่มขึ้น เกิดแสงสว่าง เกิดรัศมี สนามพลังของจิต ความแพรวพราวระยิบระยับ โรยรอบ ขยายอาณาเขตออกไปเป็นรัศมี 20 เมตร สว่าง คุมบ้าน คุมที่อยู่อาศัย ที่เราพักอยู่ทั้งหมด ใจเอิบอิ่มผ่องใส

จากนั้นจิตที่เป็นเพชรประกายพรึก แผ่เมตตาสว่างออกไปทั่วจักรวาล เป็นกระแสของความเย็น ความสุขความสงบ ความรัก ความปราถนาดี ปรารถนาให้ทุกดวงจิตเข้าถึงความสุข  เข้าถึงความสงบ ปราถนาให้ทุกดวงจิตเป็นผู้ที่ปราศจากเวรภัยต่อกัน ปราถนาให้ทุกดวงจิตทั่วทั้ง 3 ไตรภูมิ 1 นิพพาน เป็นผู้ที่ปราศจากการเบียดเบียนกัน

ปรารถนาให้ทุกดวงจิต พึงเสวยความสุขตามภพภูมิที่เหมาะสม สำเร็จสมปรารถนาในมนุษย์สมบัติ ในสวรรค์สมบัติ ในพรหมสมบัติ และในพระนิพพานสมบัติ  แผ่เมตตายินดีกับความสุขทั้งหลาย ที่ท่านทั้งหลายได้เข้าถึงแล้ว  ท่านที่มีความสุขอยู่แล้ว  ก็ขอให้เกิดความสุขยิ่งขึ้นไป เป็นมุทิตาอันไม่มีประมาณ   ท่านที่เกิดความทุกข์    เสวยความทุกข์ ขอให้หลุดพ้น ทอดถอนใจออกจากความทุกข์ ขอให้ปลดเปลื้อง ปลดปล่อยจิตตนเองพ้นจากภพแห่งความทุกข์หมดเวรหมดกรรม หมดวิบาก หมดทิฐิที่ทำให้เกิดวิบาก เกิดกรรม เกิดทุกข์ แผ่เมตตา สว่างกระจายออกทั่ว      อนันตจักรวาล

จิตของเราขณะนี้ เป็นสนามพลังงาน   เป็นแหล่งปฏิกรณ์พลังงาน คือพลังงานแห่งความเมตตา  แผ่สว่างกระจายออกไปเป็นประดุจดาวฤกษ์อันเจิดจรัส เป็นดวงอาทิตย์ที่เปล่งประกายให้สนามพลังแห่งชีวิต ให้แสงสว่าง ให้ความอบอุ่นกับดวงดาวและสรรพสัตว์ที่อยู่ในดวงดาวทั้งหลาย จิตของเราส่องสว่างเป็นดาวฤกษ์อันแจ่มจรัส แผ่เมตตาสว่างออกไป

เราทุกคน จิตทุกดวงของเราที่ปฏิบัติธรรมตอนนี้ เป็นเหมือนกับดาวฤกษ์ เปล่งประกายกระแสของความสุขความรัก ความเมตตาออกไปยังจักรวาล ออกไปยังทุกภพทุกภูมิ ออกไปยังดวงจิตทั้งหลายของสรรพสัตว์ กระแสจิตที่มีพลังงานแห่งเมตตา เปี่ยมพลังประดุจดาวฤกษ์นี้ เจิดจรัสอยู่บนโลก อยู่บนพิภพผืนนี้ เกิดกระแสพลังงาน เกิดกระแสแห่งบุญกุศล เป็นเครือข่ายเชื่อมโยง แผ่เมตตาปกคลุมคุ้มครองโลกใบนี้ ขอให้โลกใบนี้จงสงบสุขสันติ ผ่านพ้นวิกฤตผ่านพ้นภัยจากสงครามทั้งหลาย ผ่านพ้นวิกฤตวิบากแห่งโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย ผ่านพ้นจากการเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบ ในสงครามทั้งทางตรงและทางอ้อม แผ่เมตตาสว่าง  ให้จิตของเราทุกคน เกิดเป็นสนามพลังงาน กระแสแห่งกุศล  ช่วยกันปรับเปลี่ยน  คุ้มค่าของโลกใบนี้  ให้ก้าวเข้าสู่ยุคชาววิไล  แผ่เมตตาสว่าง ผ่องใส

น้อมจิตอธิษฐาน ด้วยเจตนาของข้าพเจ้าอันเป็นกุศล จิตข้าพเจ้ากำลังฌานสมาบัติของข้าพเจ้า กำลังตบะเดชะแห่งสมาธิจิต เกิดเป็นบุญยฤทธิ์ เกิดเป็นอิทธิฤทธิ์จากกำลังฌาน เจตนารมณ์ที่ข้าพเจ้าใช้ในพลังแห่งฌานสมาบัติอภิญญาสมาบัติ กระแสแห่งจิต กระแสพลังแห่งบุญ ข้าพเจ้าแผ่ด้วยกำลังแห่งเมตตา เพื่อคุ้มครอง เมตตาต่อดวงจิตต่อชาวโลก ต่อจักรวาลนี้ด้วยเจตนารมณ์อันบริสุทธิ์นี้ ขอให้องค์พุทธะ พระรัตนตรัย กำลังแห่งพระโพธิสัตว์ พระมหาโพธิสัตว์ กำลังแห่งเทพพรหม  อันเป็นสัมมาทิฐิ  กระแสจะจักรวาล  ขอจงเล็งญาณประจักษ์ชัด เชื่อมโยงกับดวงจิตของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมี ขอน้อมอัญเชิญ ดึงดูดพลังแห่งพุทธะ น้อมอาราธนากระแสจากพระนิพพาน น้อมกระแสจากเทพพรหมเทวา  น้อมกระแสบารมีแห่งพระโพธิสัตว์  พระมหาโพธิสัตว์  น้อมพลังจากจักรวาล  ลงมาเชื่อมโยงกับดวงจิตของข้าพเจ้า เกิดเป็นข่ายเชื่อมโยง ต่อเนื่องเชื่อมโยงถึงกันทั้งหมด กระแสทั้งหลายพุ่งตรงรวมลงสู่จิตของข้าพเจ้า และจิตของข้าพเจ้าก็เชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพัน เป็นตาข่าย เป็นร่างแห เปรียบประดุจดั่งเส้นที่แผ่เชื่อมโยง เหมือนกับยันต์เกาะเพชรที่เชื่อมโยงพลังแห่งอักขระคาถาอิติปิโสฉันใด จิตของข้าพเจ้าก็เชื่อมโยงกับกระแสของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และครูบาอาจารย์ และรวมลงสู่จิตของข้าพเจ้าขณะนี้เช่นกัน 

กำหนดความรู้สึกว่าจิตของเรายิ่งแผ่สว่าง กำลังรัศมีสนามพลังแห่งจิตเรายิ่งขยายสว่างกว้างขอบเขตขึ้นไปอีก สว่างมากขึ้นจนพ้นจากโลก พลังงานที่เชื่อมมา มากมายมหาศาล มากเกินพอที่จะครอบคลุมคุ้มครองโลกใบนี้    ดวงจิตทั้งหลายบนโลกใบนี้ ให้เกิดความสงบสุขสันติ พลังของเราแต่ละคนมีพลังมากมายมหาศาล เพียงพอที่จะผลักดัน ให้เกิดการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคแห่งชาววิไล แต่เมื่อเราทั้งหลายเชื่อมโยงการทำสมาธิเป็นอภิจิต  จิตทั้งหลายในเจตนารมย์มเพื่อเมตตาต่อดวงจิตต่อส่วนรวม ต่อโลก ต่อจักรวาล กำลังจิตของเราทุกคน ยิ่งแผ่ขยายขอบเขตกว้างขวางเกิดพลังทวีคูณขึ้น ยกกำลังขึ้น

กำหนดภาพเห็นสนามพลังที่เราทำสมาธิ เจริญสมาบัติ เป็นสนามพลังงานขนาดใหญ่ ปกคลุมโลกใบนี้ทั้งหมดเป็นแสงสว่างสีทอง สว่าง กำหนดอธิษฐานจิต  ขอกระแสบุญที่เราน้อมอาราธนาลงมา กระแสจิตตานุภาพ กระแสแห่งพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เทวดานุภาพ พรหมานุภาพ  เป็นทั้งอิทธิฤทธิ์ เทพฤทธิ์ บุญญฤทธิ์ จงรวมตัวปรากฏ   เกิดการเปลี่ยนแปลงกับโลกใบนี้ เปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคแห่งชาววิไลได้โดยง่าย โดยพลัน แผ่เมตตาสว่างปกคลุมโลกใบนี้ทั้งหมด แผ่เมตตาสว่างลง ใจเรายิ่งใส  ใจเรายิ่งบริสุทธิ์  ใจเรายิ่งสะอาดขึ้น  สว่างขึ้น

จากนั้นกำหนดอธิษฐาน ขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอให้กลางดวงจิตของเราทุกคน ปรากฏองค์พระอยู่ภายในดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึก และมีพลังรัศมีแสงสว่างสนามพลังอันมากมายนั้น จนสามารถปกคลุมโลกทั้งหมด เมื่อภาพพระ เมื่อเราอาราธนาบารมีพระอยู่กลางใจของเรา กระแสพลัง กระแสแห่งพลัง กระแสแห่งบุญกระแสกำลังพุทธะ ยิ่งปรากฏเพิ่มขึ้นไป รัศมีกระแสสนามพลังงานจากกลางดวงจิตเรายิ่งเพิ่มพูนขึ้น สว่างขึ้นตามไปด้วย

กำหนดจิตสนามพลังของเรา ที่แผ่ออกปกคลุมโลกนี้ทั้งหมด จากนั้นใช้กระแสพลังงานที่เราคลุมโลกนั้น   เป็นกระแสที่เราสัมผัสกับความรู้สึก จนเกิดญาณเครื่องรู้จากการที่เราใช้สนามพลังคลุมโลก กำหนดญาณเครื่องรู้ พิจารณาเห็นทุกข์ของมวลหมู่สรรพสัตว์บนโลกใบนี้   กำหนดความรู้สึกที่เราซึมซับโดยที่ใจเราอุเบกขา  รู้โดยที่จิตเราไม่ทุกข์     รู้ซึ้งถึงความทุกข์ ความลำบาก ความอดอยากยากจน ความพลัดพรากกัน โรคภัยไข้เจ็บ ทุกขเวทนาทั้งหลาย      ความทุกข์จากศึกสงคราม ความทุกข์จากการเบียดเบียน เอารัดเอาเปรียบกัน แผ่เมตตาพิจารณาใช้ญาณกำหนดรู้  เห็นทุกข์ เห็นทะเลแห่งทุกข์ เห็นโลกใบนี้ จิตรู้กระแสพลังงานที่เราคุม ทำให้เราสัมผัสรู้ เห็นในทุกข์ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย

กำหนดรู้ด้วยใจอันเป็นอุเบกขา ในขณะเดียวกันเราก็แผ่เมตตา แผ่กระแส แผ่ความรู้สึก ให้เป็นเหมือนกับหยาดน้ำทิพย์ชโลมดวงจิตดวงใจทุกดวง ของจิตทุกดวง ให้มีความสงบ ให้มีความชุ่มเย็น ดับทุกข์ในจิตทั้งหลายของสรรพสัตว์ทั้งโลกนั้น   ดับทุกข์ทั้งหลายให้คลายตัวลง   ให้เบาบางลง   ขอความอุดมสมบูรณ์   ความสุข   ความรัก ความเมตตา ความเอื้อเฟื้อ ความช่วยเหลือ การสงเคราะห์ซึ่งกันเเละกัน อัธยาศัยไมตรี การแบ่งปัน จงปรากฏเกิด          ขอกระแสแห่งความรู้สึกทั้งหลายเหล่านี้ จงผุดขึ้นในดวงจิตดวงใจของมนุษย์ทั้งหลาย  เกิดขึ้นในดวงใจของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอกระแสคลื่นแห่งจิต ที่เราน้อมอาราธนาบารมีพุทธานุภาพทั้งหลาย จงเชื่อมโยง จงซึมซับลงสู่จิตทุกดวงบนโลกใบนี้  ให้เกิดความเมตตา ความรัก ความเอื้อเฟื้อเอื้ออาทรต่อกัน

กำหนดใช้กระแสพลังงานความรู้สึกของเราเข้าไปสัมผัส จนเกิดญาณเครื่องรู้ เห็นความอุดมสมบูรณ์ผลิดอกออกผลของต้นไม้ ของธัญญาพืช ของไม้ดอกไม้ผลทั้งหลาย เห็นการแบ่งปัน ผู้คนเกิดเมตตา ขอกระแสจิตพลังงานที่เราคลุมโลกไว้ จงสัมผัสรู้สัมผัสเห็น มนุษย์บุคคลที่มีความเอื้อเฟื้อต่อกัน เมตตาต่อกัน แบ่งปันต่อกันเป็นจิตอาสาช่วยเหลือเกื้อกูลสงเคราะห์ เห็น รู้ สัมผัสจิ ตของสัตว์ทั้งหลาย ที่แบ่งปันช่วยเหลือเอื้อเฟื้อกัน แม้จะเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ตาม   จิตสัมผัสรู้ พระภูมิเจ้าที่ที่ท่านช่วยเหลือเกื้อกูล คนที่อาศัยอยู่ในเขตในบ้านของท่าน  จิตเข้าไปสัมผัสรู้ สัมผัสเห็นกระแสของรุกขเทวดา ที่ท่านเอื้อเฟื้อช่วยเหลือมนุษย์ก็ดี สัตว์ก็ดี ใจสัมผัสกระแสแห่งเมตตาที่ปรากฏ กระแสพลังงานจากจิตเข้าไปสัมผัส เข้าไปรู้ เข้าไปเห็น ความดีงามของดวงจิตของผู้คน ของสรรพสัตว์ทั้งหลายบนโลก เชื่อมกระแสส่งไปยังจักรวาล เชื่อมกระแสไปยังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย  มนุษย์โลกยังมีความหวัง  ยังมีความดีงาม  เชื่อมกระแสไปยังจักรวาล ยังเทพพรหมเทวา ยังมีคนที่สร้างความหวัง ยังมีผู้คนที่ดีงามพอที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้

ขอกระแสนี้ ขอภาพเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้ จงปรากฏขึ้นยังจักรวาล และขอคลื่นกระแสที่จิตเราสัมผัสเห็นความดีงามในจิตของผู้คนและสรรพสัตว์บนโลก แผ่ซึมซาบเพื่อปลุกตื่นมนุษย์ และดวงจิตดวงอื่น  ให้ตื้นขึ้นสู่ความดีงาม เอื้อเฟื้อแบ่งปัน ความอุดมสมบูรณ์สันติสุขจงปรากฏขึ้น โลกจงขับเคลื่อนเข้าสู่ยุคชาววิไล คือการเป็นผู้มีใจสูง กระแสจิตของเราทั้งหลาย กระตุ้นตื่น ดวงจิตที่หลับใหลในอวิชาความหลง ให้ตื้นขึ้นสู่ความเมตตา ความเอื้อเฟื้อ ความรัก การแบ่งปัน ความเอื้ออาทร ความมีน้ำใจไมตรี รอยยิ้ม สันติสุข ความสุข การเติมเต็มภายในดวงจิตทั้งหลาย แผ่กระแสของความปิติสุข  ส่งไปจนปกคลุมโลกนี้ทั้งหมด   จนเห็นโลกใบนี้เป็นเพชรประกายพรึก สว่าง

แผ่รัศมีกระจายออก ท่ามกลางอนันตจักรววาล  โลกใบนี้กลายเป็นเพชระยิบระยับแพรวพราว กระแสแห่งความเมตตา จงฟื้นปลุกตื่นขึ้นในทุกดวงจิต มนุษย์ผู้มีพันธกิจ ในการอธิษฐานเพื่อมาเปลี่ยนแปลงให้โลกนี้ดีงามขึ้น เข้าสู่ยุคความเจริญรุ่งเรืองของพุทธศาสนา คล้ายดั่งสมัยพุทธกาล เข้าสู่ยุคแห่งชาววิไล ขอกระแสคลื่น ขอกระแสแห่งบุญ ขอกระแสความเมตตา จงแผ่ปกคลุมจนเห็นโลกใบนี้ทั้งหมด สว่าง ตื่นขึ้น กระแสบุญหลั่งไหลรวมลงสู่แม่พระธรณี ที่ซึมซับบุญกุศลของมนุษย์ ที่ทำบุญสร้างกุศลและหยาดน้ำ อุทิศลงสู่ดิน อุทิศลงสู่แม่พระธรณีเป็นพยาน ขอบุญทั้งหลายที่แม่พระธรณีซึมซับรับไว้ การสร้างพระพุทธรูปมากมายมหาศาล มากมายหลายองค์ พระองค์ใหญ่ มากกว่ายุคสมัยใด มีผู้ปฏิบัติธรรมมากมายมหาศาล มีผู้ถวายทาน ถวายมหาสังฆทานมากมายมหาศาล

ขอบุญนี้ที่แม่พระธรณีรับไว้ ได้ปลุกตื่นขึ้น ประดุจดั่งเมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ ทรงอธิษฐานจิตสู้กับ          พญามาราธิราชฉันใด ก็ขอให้กำลังบุญของบุคคลทั้งหลาย  ที่ช่วยกันสร้างบุญสร้างกุศล  สร้างบารมี จงปรากฏเป็นน้ำหยาดอันมากมายมหาศาล ชำระล้างโรคภัยไข้เจ็บ ชำระล้างโรคระบาด ชำระล้างสงคราม อันเกิดขึ้นจากจิตมาร    พญามารทั้งหลาย จงพ่ายแพ้ไปด้วยกำลังแห่งบุญกุศลของบุคคล สาธุชนผู้ทำความดีโลกนี้ยังมีความหวัง โลกนี้ยังมีความดี ตราบที่โลกนี้ยังมีผู้เข้าถึงความดีในพระพุทธศาสนา และความดีในศาสนาที่ตนเองนับถืออยู่ แผ่เมตตาสว่าง

กำหนดน้อมใจของเรา บางคนจะเห็นภาพแม่พระธรณีอยู่เหนือในโลก บีบมวยผมจนเกิดน้ำหยาด  โลกนี้เอิบอิ่ม  ปรับแปรสภาพ   เริ่มขับเคลื่อนเข้าสู่ยุคชาววิไล    จิตของเราสะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส   เจตนาของเราบริสุทธิ์เพื่อโลก เพื่อจักรวาล  เพื่อสรรพชีวิต  เพื่อดวงจิตทั้งหลาย  ยกระดับจิตตามคำสอนของหลวงพ่อฯ  ที่สอนไว้ว่า  เราทรงไว้ในปฏิปทาสาธารณะ เราใช้กำลังฌานสมาบัติ ใช้กำลังแห่งจิตตานุภาพ  อภิญญา  เพื่อประโยชน์แห่งมวลหมู่มนุษยชาติ เพื่อโลกใบนี้ เพื่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย  เพื่ออนาคตของโลก จะได้เป็นที่จารึกพระพุทธศาสนาสืบต่อไปให้ครบ 5,000 ปีแผ่เมตตาสว่างผ่องใส  ใจสบาย

เมื่อแผ่เมตตาแล้ว ให้เราย้อนกลับมาดูจิตของเรา อธิษฐานจิตขอบารมีพระเห็นอาทิสมานกายของเรา สว่างเป็นแก้วใส ลอยอยู่เหนือโลก สว่าง แผ่เมตตาสว่าง ใจของเราเอิบอิ่มปิติสุข กำหนดน้อมอธิษฐานให้เห็นตัวเราอยู่ในสภาวะกำลังยืน ฝ่ามือทั้งสองข้าง อยู่ข้างลำตัว ความรู้สึกว่าเรา กายทิพย์ของเราอยู่ในสภาวะเหมือนพระพุทธรูป    ปางพระพุทธรูปเปิดโลก

กำหนดแผ่เมตตาความรู้สึก น้อมกระแสกำลังพระราชหฤทัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  แผ่เมตตาขอกระแสบุญ กระแสกุศล เปิดโลกเข้าสู่ยุคชาววิไล น้อมใจของเรา สว่าง จนเห็นกายทิพย์ของเรา สว่างผ่องใส เจิดจ้าอย่างยิ่ง กายทิพย์ของเราแต่ละคนสว่าง จิตเอิบอิ่ม จิตยินดี จิตเป็นกุศล

อธิษฐานน้อมใจ ให้กระแสจากพระนิพพานส่งต่อลงมา ผ่านกายทิพย์ของเราที่อยู่เหนือโลกนั้น กำหนดใจของเราว่า จิตของข้าพเจ้า เชื่อมกระแสกับพระนิพพาน ขอกระแสศักดิ์สิทธิ์จากพระนิพพาน  จงส่งตรงลงมายังโลกใบนี้   ขอกระแสจากพระนิพพาน จงส่งผล ให้กระแสจิต กระแสบุญของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ  พระองค์ กระแสแห่งพระธรรม กระแสแห่งอริยสงฆ์ ส่งต่อเชื่อมโยงมายังโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์ กำหนดน้อมเห็นสนามพลังพรั่งพรูลงมา ผ่านกายทิพย์ของเราลงมาสู่โลก โลกยิ่งสว่างขึ้น ใสขึ้น สะอาดขึ้น  ในระหว่างนั้นก็  กำหนดดูจิตของเรา ว่าใจเราสบายไหม ผ่องใสไหม ใจเรายินดีในกุศลที่เราทำอยู่ไหม

ใจสบาย ผ่องใส จากนั้นกำหนดจิตของเรา ให้อาทิสมานกายกลับมาที่กายเนื้อ กำหนดขอกุศลทั้งหลายที่เราตั้งใจ ขอกุศลจากการฝึก จากการปฏิบัติ จากการที่เราใช้กำลังแห่งเมตตาฌาน กำลังตบะเดชะแห่งจิต การอารธนากระแสจากพระนิพพานลงมา ขอจงเกิดผลศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ ช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง ที่ทำให้โลกใบนี้ ผ่านพ้นวิกฤต ผ่านพ้นอุปสรรค ผ่านพ้นเหตุการณ์ รอดพ้นผ่านเข้าสู่ยุคชาววิไล ได้สำเร็จโดยอัศจรรย์ด้วยเทอญ

ด้วยจิตอันบริสุทธิ์ของข้าพเจ้าทั้งหลายนี้ เจตนาอันบริสุทธิ์ของข้าพเจ้าทั้งหลายนี้ ขอความสุขสวัสดี ความเจริญรุ่งเรือง ทั้งทางโลกทางธรรม ความอัศจรรย์ จงเกิดผลพลิกชีวิตข้าพเจ้า ให้ก้าวหน้ารุ่งเรือง สายบุญ สายทรัพย์ สายสมบัติ จงไหลพรั่งพรูมาสู่ชีวิตของข้าพเจ้า  กระแสธารแห่งธรรมะ กระแสปัญญา กระแสฌานสมาบัติ อภิญญาใหญ่จงหลั่งไหลลงมาสู่ข้าพเจ้า บุคคลผู้มีเจตนาอันเป็นกุศลและคู่ควร ขอให้ข้าพเจ้า ใช้ทรัพย์ ใช้ปัญญา ใช้พละ ใช้อภิญญาสมาบัติ ยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นต่อโลก ต่อมวลสรรพสัตว์ และต่อข้าพเจ้าและคนใกล้ตัวทั้งหลาย  ขอให้กำลังแห่งจิต กำลังแห่งอภิญญาสมาบัติ เป็นฐานกำลัง เสริมให้ข้าพเจ้าสร้างบารมีเต็มอย่างรวดเร็ว และสามารถเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้โดยง่ายโดยพลันกันทุกคนทุกท่านด้วยเทอญ ขอเทวดาพรหมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ตราบจนถึงทุกท่านบนพระนิพพาน ได้โปรดเมตตาโมธนาสาธุการกับข้าพเจ้าด้วยเทอญ

จากนั้นจึงค่อยๆน้อมจิตของเรา

หายใจเข้าช้าๆ ลึกๆ หายใจเข้า พุท ออก โธ

ครั้งที่ 2 หายใจเข้า ธัม หายใจออก โม

หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ ครั้งที่ 3 หายใจเข้า สัง หายใจออก โฆ

ขอกระแสพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ คุ้มครองกาย วาจา ใจของข้าพเจ้าทุกคนด้วยเทอญ

จากนั้นน้อมจิตโมทนาสาธุ กับบุญกุศลของทุกคน โมทนากับผู้ปฏิบัติธรรมทุกคน โมทนากับผู้ที่ใช้กำลังจิตกำลังอภิญญาจิต ช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังโลกใบนี้ ให้ผ่านเข้าสู่ยุคชาววิไลกันทุกคน

จากนั้นเราจึงค่อยๆ  ถอนจิตช้าๆ จากสมาธิ    ด้วยความสุข    ด้วยอารมณ์จิตอันผ่องใส  อารมณ์จิตอันสว่าง สงบเย็น ความอิ่มใจที่ได้สร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้น  จะมีผู้รู้หรือไม่รู้ก็ตาม แต่จิตเราสร้างกุศลให้กับโลกใบนี้

สำหรับวันนี้ การสอนก็สำเร็จเสร็จสิ้น อาจารย์ก็ดีใจที่เราทุกคนได้ยังประโยชน์ให้เกิดขึ้น  สร้างกุศลให้เกิดขึ้นสำหรับการปฏิบัติ ก็ขอให้เราทุกคนตั้งใจพากเพียร มีความขยันในการฝึกฝน ในการปฏิบัติ ยิ่งเราปฏิบัติธรรม  ยิ่งเราแผ่เมตตาเป็นแสงสว่าง ออกไปมากเท่าไหร่ กำลังบุญที่จะมาถ่วงดุล วิบากกรรมหรือกรรมหนักกรรมชั่ว ที่จะทำให้โลกนี้ เกิดวิกฤติก็มีการถ่วงดุล เกณฑ์ที่จะมีการล้าง จะมีผู้เสียชีวิต จะมีผู้ล้มตายมาก เมื่อเราสร้างกุศล สร้างความดีมาถ่วงดุล  วิบากวิกฤติต่างๆ  ถ้าไม่เกินวิสัย  ไม่เกินวาระของกรรม ก็สามารถบรรเทาเบาบางคลี่คลายได้   อย่าลืมว่าสิ่งที่เราทำก็เป็นกรรม  แต่เป็นกรรมดี กรรมบวก เราสร้างเหตุใหม่ สร้างไทม์ไลน์  เส้นเวลา  เส้นเหตุการณ์ใหม่ ให้เกิดบุญ เกิดกุศล เปลี่ยนพลิกสถานการณ์ จากการที่เราทรงกำลังอภิญญาจิตสูงสุด ทรงกำลังสูงสุด  ทำเป็นอภิจิตเพื่อช่วยโลกใบนี้ ก็ขอให้เราทุกคนร่วมจิตร่วมใจกัน สร้างความดีต่อไป มีความเพียร  มีความสามัคคีกันต่อไป  สำหรับวันนี้ สวัสดีสาธุครับ

ถอดความและเรียบเรียงโดย : คุณสิริญาณี แลบัว


You cannot copy content of this page